หลังคามีกี่แบบ? ส่องความแตกต่างของหลังคาแต่ละแบบ
หลังคามีกี่แบบที่ใช้งานกันในปัจจุบัน? เนื่องจากหลังคาเป็นส่วนสำคัญของบ้านที่อยู่อาศัย รวมถึงอาคารต่าง ๆ จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการเลือกหลังคาจึงเป็นขั้นตอนและกระบวนการที่มีความสำคัญอย่างมาก เพราะช่วยป้องกันแสงแดด ลมพายุ หรือฝน รวมถึงเป็นการเสริมความสวยงามและเอกลักษณ์ให้กับบ้านที่อยู่อาศัยได้อีกด้วย
ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งสำคัญของการเลือกหลังคาสำหรับต่อเติมพื้นที่ต่าง ๆ จะต้องเลือกให้เหมาะกับวัตถุประสงค์ในการใช้งาน ความทนทาน และเข้ากับไลฟ์สไตล์ของเจ้าของบ้าน ซึ่งแน่นอนว่าก่อนที่จะเลือกหลังคาก็จะต้องรู้จักหลังคาแต่ละแบบก่อน ในบทความนี้จะพามาดูว่าหลังคามีกี่แบบ? และมีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
หลังคามีกี่แบบ
หลังคาแต่ละรูปแบบ มีความแตกต่างกันทั้งเรื่องของดีไซน์ คุณสมบัติและการใช้งาน ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกหลังคารูปแบบไหนสำหรับการต่อเติมพื้นที่ต่าง ๆ ภายในบ้านและบริเวณบ้าน ควรทำความรู้จักกับหลังคาแต่ละแบบเสียก่อน
หลังคาทรงจั่ว
หลังคาทรงจั่ว (Gable Roof) มีลักษณะเป็นหลังคาทรงสามเหลี่ยม โดยจะมีสองด้านที่ลาดเอียงมาบรรจบกันที่ยอด เหมาะกับบ้านทรงไทยหรือทรงโมเดิร์น ซึ่งจะสามารถระบายอากาศได้ดี เวลาฝนตกไม่มีปัญหาน้ำขังมากวนใจ แต่จะเป็นหลังคาที่มีคุณสมบัติในการต้านทานลมแรงได้น้อยกว่าหลังคาทรงอื่น
หลังคาทรงปั้นหยา
หลังคาทรงปั้นหยา (Hip Roof) มีลักษณะเป็นหลังคาที่มีด้านลาดเอียงจำนวนสี่ด้าน มาบรรจบกันที่จุดยอด เหมาะกับบ้านสไตล์ทรอปิคอลหรือแบบคลาสสิก ซึ่งถือเป็นหลังคาที่มีความแข็งแรง ทนต่อแรงลมได้ดี แต่จะมีโครงสร้างที่ซับซ้อน และใช้เวลาสร้างนานกว่าหลังคารูปแบบอื่น
หลังคาเมทัลชีท
หลังคาเมทัลชีท (Metal Sheet Roof) เป็นหลังคาที่ทำมาจากเหล็กหรืออลูมิเนียมที่มีแผ่นเรียบ เหมาะกับอาคารพาณิชย์หรือโรงงาน ซึ่งถือเป็นหลังคาที่มีน้ำหนักเบา สวยงาม สามารถติดตั้งได้ง่าย แต่เป็นหลังคาที่เก็บเสียงไม่ดีมากนัก
หลังคาแบน
หลังคาแบน (Flat Roof) มีลักษณะเป็นพื้นเรียบ ไม่มีความลาดเอียง เหมาะกับบ้านสไตล์โมเดิร์น หรือมักจะใช้สำหรับต่อเติมอาคารพาณิชย์ ข้อดีของหลังคาแบน คือ สามารถใช้พื้นที่บนหลังคาได้ ทั้งการใช้เป็นดาดฟ้า หรือการปลูกสวนก็ได้เช่นกัน แต่เป็นหลังคาที่ระบายฝนยาก และเกิดการรั่วซึมได้ง่าย
หลังคาทรงโค้ง
หลังคาทรงโค้ง (Curved Roof) เป็นหลังคาที่มีลักษณะโค้งมน มีความสวยงาม ทันสมัย และโดดเด่น เหมาะกับบ้านหรืออาคารพาณิชย์ที่มีการออกแบบที่มีเอกลักษณ์ ซึ่งเป็นหลังคาที่สามารถระบายน้ำฝนได้ดี แต่โครงสร้างจะมีความซับซ้อน และค่าก่อสร้างที่สูง
หลังคาทรงปีกผีเสื้อ
หลังคาทรงปีกผีเสื้อ (Butterfly Roof) เป็นหลังคาที่มีลักษณะคล้ายกับปีกผีเสื้อที่หุบลงตรงกลาง ซึ่งถือเป็นหลังคาที่มีความแปลกใหม่ สามารถระบายน้ำฝนเข้าสู่จุดที่กำหนดไว้ได้ง่าย แต่อาจเกิดปัญหาน้ำขังตามมา หากระบบระบายน้ำไม่ดี
หลังคาทรงเพิงหมาแหงน
หลังคาทรงเพิงหมาแหงน (Shed Roof) เป็นหลังคาที่มีด้านลาดเอียงเพียงด้านเดียยว เหมาะกับการต่อเติมบ้านสไตล์โมเดิร์น หรือบ้านขนาดเล็ก เนื่องจากเป็นหลังคาที่มีโครงสร้างเรียบง่าย จึงช่วยประหยัดงบประมาณได้ แต่มีข้อเสียคือ การระบายอากาศได้ไม่ดีเท่าหลังคาทรงจั่ว
หลังคาแบบผสม
หลังคาแบบผสม (Combination Roof) เป็นหลังคาที่มีการผสมระหว่างหลังคาทรงต่าง ๆ ไว้อย่างลงตัว เหมาะกับบ้านที่มีการออกแบบที่เป็นดีไซน์เฉพาะตัว ข้อดีของหลังคารูปแบบนี้ คือ ความยืดหยุ่น เหมาะกับการออกแบบที่มีความซับซ้อน แต่มีข้อเสียคือ ใช้เวลาในการสร้างเยอะ และค่าใช้จ่ายสูง
เลือกวัสดุมุงหลังคาแบบไหนดี?
เมื่อได้ทรงหลังคาสำหรับต่อเติมบ้านหรืออาคารแบบที่ต้องการ และเหมาะกับการใช้งานแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญ คือการเลือกวัสดุมุงหลังคา เพื่อใช้ในการต่อเติมพื้นที่ต่าง ๆ ภายในบ้านและบริเวณบ้านอย่างเหมาะสม ซึ่งในปัจจุบันมีวัสดุมุงหลังคาให้เลือกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น หลังคาเมทัลชีท, หลังคากระเบื้อง, หลังคาไวนิล และหลังคากันสาด แต่การเลือกวัสดุมุงหลังคาจะต้องพิจารณาจากสภาพแวดล้อมร่วมด้วย ตัวอย่างเช่น ประเทศไทยที่เป็นเมืองร้อน เหมาะกับการเลือกใช้หลังคากันความร้อน หรือหลังคาที่มีฉนวนกันความร้อน ถือเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมมากที่สุด เป็นต้น
บทสรุป
รูปแบบของหลังคาในปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลาย ขึ้นอยู่กับความต้องการและรูปแบบในการนำไปใช้งาน เช่น การต่อเติมหลังคาบ้าน หลังคาโรงงาน หลังคาโรงรถ ก็จะมีรูปแบบของหลังคาที่เหมาะสมต่างกัน ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการต่อเติมในพื้นที่ไหนก็จะต้องมีการศึกษาเกี่ยวกับความเหมาะสมของหลังคาแต่ละแบบก่อน
หากใครที่ต้องการหลังคาสำหรับการต่อเติมคุณภาพดี มีให้เลือกหลากหลาย แถมยังมีบริการติดตั้งหลังคาโดยช่างผู้เชี่ยวชาญ ติดต่อได้โดยตรงทางเว็บไซต์ Ozlo หรือติดต่อที่เบอร์ 086-317-9452
Leave a Comment